มอง ‘ประชาธิปไตย’ ผ่านงานวิจัย
- TSIS

- Oct 13, 2020
- 1 min read
By Setthaphong Matangka

หากจะให้กล่าวว่าประเทศไทยในปัจจุบันปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เหมือนดังเช่นในปี พ.ศ.2516-2519 ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน” ก็คงเป็นคำกล่าวที่เกินจริงสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน
ประชาธิปไตยไทยผ่านทั้งจุดสูงสุดไปจนถึงจุดต่ำสุดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนกลายเป็น “วงจรอุบาทว์” ที่เริ่มจากการเลือกตั้งจนจัดตั้งรัฐสภาเสร็จสิ้น เมื่อรัฐบาลบริหารงานไปได้ระยะเวลาหนึ่งก็จะเริ่มเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่มักจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การรัฐประหาร เมื่อเหตุการณ์สงบลงก็จะมีการแต่งตั้งนายกฯ ที่มิได้มาจากการเลือกตั้งและเริ่มมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนนำไปสู่การเลือกตั้ง เหตุการณ์ที่ผ่านมาล้วนดำเนินเป็นวัฏจักรเช่นนี้
วันนี้เราอยากจะชวนทุกคนย้อนมองประชาธิปไตยไทยผ่านงานวิจัยที่น่าสนใจ 3 ชิ้น
บทบาทของการเมืองภาคประชาชนในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

หนังสือวิชาการเรื่อง “การเมืองภาคประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยไทย” มาจากผลงานวิจัยที่มีชื่อว่า “บทบาทของการเมืองภาคประชาชนในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย” ได้รับทุนการทำวิจัยจากมูลนิธิ 50 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย คำถามหลักในงานวิจัย คือ การพิจารณาความชอบธรรมและตำแหน่งแห่งที่ของการเมืองภาคประชาชน ในระบอบการเมืองการปกครองไทย และการเมืองภาคประชาชนได้แสดงบทบาทสนองจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
กล่าวโดยสรุป ข้อคิดที่อาจารย์ให้ไว้ในงานชิ้นนี้ คือ จุดเริ่มต้นปัญหาการปกครองไทยทั้งหมด เริ่มมาจากมรดกทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและเศรษฐกิจสังคม 3 ประการ ได้แก่ (1) วัฒนธรรมอุปถัมภ์ (2) โครงสร้างและความสัมพันธ์ทางอำนาจที่มีมาแต่เดิม (3) ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคม เมื่อ 3 ข้อที่กล่าวมา มาผนวกกับกระแสโลกาภิวัตน์ ที่อาจารย์เสกสรรค์ให้คำนิยามไว้ว่า “การโอนถ่ายอำนาจอธิปไตยจากรัฐชาติไปให้กลไกตลาด” ผลที่เกิดขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคมตกอยู่ในสภาพที่รัฐมีฐานะครอบงำ และกัดกินระบอบการเมืองและรัฐชาติไทย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประการ ดังนี้
ระบอบประชาธิปไตยที่ไร้อธิปไตย เนื่องมาจากถูกกระแสโลกาภิวัตน์ยึดกลไกตลาด
เกิดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม จนกลายเป็นสภาวะหนึ่งรัฐ สองสังคมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
สังคมไม่สามารถเข้ามาควบคุมรัฐได้อีกต่อไป รัฐมีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งกับสังคม การใช้อำนาจของรัฐบาลที่ขาดฉันทานุมัติ และอ้างจิตสำนึกของชาติอย่างลวงตา เพื่อกลบเกลื่อนผลประโยชน์ของชาวบ้านที่ถูกนิยามว่าเป็น “ชนส่วนน้อย” และเลือกที่จะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของนักธุรกิจและชนชั้นกลาง
การเสื่อมโทรมของรัฐชาติ ทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบอบการเมืองการปกครองไทยที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ปัญหาของอำนาจอธิปไตย ปัญหาการนิยามผลประโยชน์แห่งชาติ และปัญหาฉันทามติทางการเมือง
ปัญหาของอำนาจอธิปไตย
การโอนอำนาจในการกำหนดชะตากรรมของคนในประเทศมาอยู่ในมือของกลุ่มนักธุรกิจทั้งในและนอกประเทศถือเป็นการสร้างระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมใหม่ที่เชิดชูกลไกตลาด จนทำให้สังคมต้องแตกออกเป็นส่วนๆ ประชาชนไร้ที่ยึดเหนี่ยว ซึ่งถือเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แต่สุดท้ายการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนก็จะเป็นตัวถ่วงดุลอำนาจของภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน เพราะฉะนั้นแม้รัฐไทยจะโอนอำนาจบางส่วนไปให้กลไกตลาด แต่ประชาชนก็จะสามารถดึงกลับมาได้ในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัญหาการนิยามผลประโยชน์แห่งชาติ
อะไรคือผลประโยชน์ร่วมกันแห่งชาติ ในเมื่อผู้คนในชาติต่างมีการได้เสียผลประโยชน์ ชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วโดยเฉพาะรัฐไทยที่ออกกฎหมายปูทางให้ทุนข้ามชาติเข้ามาถือผลประโยชน์ ปัญหาหลักจึงอยู่ที่เราจะนิยามผลประโยชน์ร่วมของคนในชาติได้อย่างไร ในเมื่อกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเข้ามากุมอำนาจ และคนเหล่านี้มีหุ้นรวมกันในตลาดหุ้นประมาณ 42 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด ในขณะที่คนธรรมดามีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 3,500 บาท
ปัญหาฉันทามติทางการเมือง
แม้ในระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ฉันทามติทางการเมืองก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เพียงแต่ว่าความเห็นชอบจะจำกัดอยู่ที่เฉพาะผู้นำทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยเอง ฉันทามติทางการเมืองไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตามอำเภอใจ เพราะสังคมต้องเป็นผู้มอบให้รัฐบาลผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งนั้นหมายถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ปัญหาใหญ่ก็เกิดจากการวนเวียนอยู่กับการพิจารณาที่การเลือกตั้ง เพราะทำให้สังคมถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ จนกลายเป็นปัญหาที่นับวันยากที่จะแก้ไข ในขณะที่การเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชนก็ยิ่งมีบทบาทมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นจึงต้องมีความจำเป็นที่จะปรับกระบวนทัศน์ทางการเมือง โดยมีประเด็น 3 ประการ ดังนี้
ต้องยอมรับว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทนผ่านการเลือกตั้งไม่เพียงพอต่อการดูแลผลประโยชน์ของคนในสังคม และควรเพิ่มขยายประชาธิปไตยทางตรงแบบที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจด้วยตนเองมากขึ้น
สร้างกระบวนการฉันทานุมัติแบบต่อเนื่อง เปิดให้ผู้มีส่วนได้เสียในประเด็นนั้นๆ เข้ามาร่วมแสดงความเห็นปัญหานั้น และหาฉันทานุมัติที่ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้
เปิดอนาคตประเทศไทยให้มีการพัฒนาที่หลากหลาย รัฐไม่ควรยึดอำนาจแบบศูนย์รวมในการบังคบคนในสังคม โดยที่มองข้ามความแตกต่าง และไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพของผู้คน
การศึกษาวิจัยเรื่องพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงพุทธศักราช 2551-2553
จำลอง พรมสวัสดิ์

การศึกษาวิจัยเรื่องพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงพุทธศักราช 2551-2553 มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาบริบททางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงพุทธศักราช 2551-2553 (2) เพื่อสำรวจความคิดเห็นของชนชั้นกลางเกี่ยวกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยและผลของความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางที่มีต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ
ผลการศึกษาพบว่า
บริบททางการเมืองมีผลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงพุทธศักราช 2551-2553 ในระดับสูงมาก เนื่องจากบริบททางการเมืองอันได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับ พุทธศักราช 2550 ที่ให้ประชาชนเข้าไปมีบทบาทสำคัญเป็นผู้เล่นไม่ใช่ผู้ดูตามแนวคิดของการเมืองแนวใหม่หรือการเมืองภาคประชาชนประกอบกับชนชั้นกลางในช่วงที่ทำการศึกษามีความกระตือรือร้นและมีจิตสำนึกทางการเมืองมาก ขณะเดียวกันไม่ต้องการเห็นรัฐบาลมีพฤติกรรมการคอรัปชั่นเชิงนโยบายและการขัดกันของผลประโยชน์อย่างกว้างขวาง
บริบททางสังคมมีผลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงพุทธศักราช 2551-2553 ค่อนข้างมากเนื่องจากบริบทสังคมไทยระยะหลังสังคมพหุนิยมและพหุวัฒนธรรมเป็นสังคมข่าวสารข้อมูลทำให้ชนชั้นกลางสนใจติดตามข่าวสารทางการเมืองและมีการรวมกลุ่มเป็นแนวร่วมกับกลุ่มการเมืองอื่น ๆ
บริบททางเศรษฐกิจมีผลต่อพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลค่อนข้างน้อย เพราะตัวแบบของ Lipset ที่นำมาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยใช้ไม่ได้กับประเทศในเอเชียรวมทั้งไทย
การสำรวจความคิดเห็นของชนชั้นกลางเกี่ยวกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย และผลของความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางที่มีต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยพบว่า ชนชั้นกลางส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยรวมมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.09) แสดงให้เห็นว่าชนชั้นกลางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความรู้ความเข้าใจในการเมืองระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างดีทั้งความรู้ทางด้านบวกและทางด้านลบเป็นผลของความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางที่มีต่อการเมืองไทยพบว่าค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองชนชั้นกลางทั้ง 4 ด้านมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.06) การที่ผลปรากฏเป็นเช่นนี้เนื่องมาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ให้ความสำคัญกับการเมืองแนวใหม่หรือการเมืองภาคประชาชนหรือประชาธิปไตยทางเลือกมากกว่าประชาธิปไตยตัวแทนที่มีข้อจำกัด
การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเลือกตั้งของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
หยดฟ้า ราชมณี และคณะ

การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเลือกตั้งของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) ศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมือง และการเลือกตั้งของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (2) เพื่อเปรียบเทียบมุมมองต่อการเมืองและการใช้สิทธิเลือกตั้งของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช โดยจำแนกตามลักษณะด้านประชากรและสังคมของนักศึกษา (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการใช้สิทธิ์เลือกตั้งของนักศึกษา
ตัวแปรใช้ในการศึกษาประกอบด้วย ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ลักษณะด้านประชากรและสังคม (เพศ ชั้นปี ภูมิลำเนา รายได้และอาชีพของบิดามารดา), การมีส่วนร่วมทางการเมือง(ผู้สนใจทางการเมือง กิจกรรมทางเมืองและกิจกรรมการต่อสู้) และตัวแปรตาม ได้แก่ มุมมองต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง และการเลือกตั้งของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
ผลการศึกษาพบว่า
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช โดยภาพรวมอยู่ในระดับน้อย เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย คือด้านรูปแบบผู้สนใจทางการเมือง ด้านรูปแบบกิจกรรมการต่อสู้ทางการเมือง และด้านรูปแบบกิจกรรมการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งน่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และยุคโลกาภิวัตน์ที่ทำให้มีความห่างเหินกับเรื่องของการเมืองออกไป แตกต่างกับในอดีตที่เราพบว่า การเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญๆ ล้วนแล้วแต่เกิดจากพลังของกลุ่มคนที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น
มุมมองต่อการเมืองและการเลือกตั้งของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มีทิศทางในเชิงบวกอยู่ในระดับมาก
การเปรียบเทียบมุมมองต่อการเมืองและการเลือกตั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช เมื่อจำแนกตาม เพศ ชั้นปี ภูมิลำเนา รายได้ของครอบครัว อาชีพของบิดาและอาชีพของมารดา พบว่าตัวแปรที่แตกต่างกันไม่ส่งผลให้มีมุมมองต่อการเมืองและการเลือกตั้งที่แตกต่างกัน
การมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่มีความสัมพันธ์กับมุมมองต่อการเมืองและการเลือกตั้งของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ทั้งในภาพรวมและในรายด้าน
Illustration by Arnon Chundhitisakul
อ้างอิง
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล. 2552. การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไทย. กรุงเทพฯ : วิภาษา เอนก เหล่าธรรมทัศน์. 2556. สองนคราประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ : คบไฟ
หยดฟ้า ราชมณี. 2558. การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเลือกตั้งของนักศึกษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครศรีธรรมราช. วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, 9(2), 121-134
จำลอง พรมสวัสดิ์. 2554. พฤติกรรมทางการเมืองของชนชั้นกลางกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงพุทธศักราช 2551-2553. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, คณะสื่อสารการเมือง, มหาวิทยาลัยเกริก.










Discover excellence Management studies institute Navi Mumbai with NCRD’s Sterling Institute of Management Studies (NCRDSIMS)—your gateway to cutting-edge post-graduate management courses, industry-centred learning and lasting career launch.
Visit us at ncrdsims.edu.in for more information.
This is a deeply insightful exploration of Thailand’s democratic evolution and the recurring challenges that seem to trap the system in a cycle of instability. I particularly found Professor Seksan’s argument about globalization and the erosion of sovereignty quite compelling—it highlights how external economic forces can shape internal politics in subtle yet powerful ways.
The studies on middle-class political behavior and student participation were also fascinating. They remind us that democracy isn’t just about institutions; it’s about civic engagement and the willingness of citizens to participate meaningfully in governance. Unfortunately, as seen in the research on student political participation, apathy among the youth could be a major barrier to achieving lasting democratic reform.
It’s interesting how these themes connect to…
Your article “มอง ‘ประชาธิปไตย’ ผ่านงานวิจัย” provides a sharp and compelling review of how democracy is examined through research-led lenses, especially in the Thai context.While preparing for an online exam on political science and governance, I looked into professional university essay editor UK options to help refine my essay structure and depth. That search introduced me to exam helper platforms which improved my clarity of writing and analytical insight rather than simply handing over answers.
This article regarding democracy research is intriguing, illustrating how engagement and informed choices enhance communities. It served as a reminder that readiness and comprehension are essential in all areas likewise, students pursuing online job placement exam help from Take My Online Exam Pro can tackle their exams with assurance and greater understanding.
Από την πρώτη στιγμή που επισκέφτηκα την πλατφόρμα, εντυπωσιάστηκα από την ποικιλία παιχνιδιών και την ευκολία πλοήγησης. Οι επιλογές είναι πραγματικά αμέτρητες και η εμπειρία του ζωντανού καζίνο συναρπαστική. Οι πληρωμές καζίνο Dolly https://www.tychebets.gr/kritikes/dolly-casino ήταν γρήγορες και χωρίς προβλήματα, κάτι που με έκανε να νιώσω ασφάλεια και εμπιστοσύνη. Σίγουρα συνιστώ αυτή την πλατφόρμα σε όποιον θέλει ποιοτικό και διασκεδαστικό παιχνίδι.